หาปลาอย่างไรให้ยั่งยืน? ทบทวนประมงไทย ลบจุดบอดสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

การประมงเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอาหาร และวัฒนธรรมของประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การประมงกลับเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลมากที่สุดกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งเราต้องพิจารณาอย่างรอบด้านทั้งมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม

ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาในการประชุมผู้นำการประมง 10 ประเทศในละตินอเมริกา โดยกลุ่มพันธมิตรละตินอเมริกันเพื่อการประมงยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหาร (ALPESCAS) ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 24-25 เมษายน 2568 ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู การประมงในละตินอเมริกาเป็นอุตสาหกรรมสำคัญโดยเฉพาะในเปรู ชิลี และเอกวาดอร์ รายงานปี 2024 ของ FAO ระบุว่า ละตินอเมริกาผลิตผลผลิตทางประมงมากถึง 17.7 ล้านตัน หรือราว 8% ของผลผลิตทั่วโลก

ความท้าทายของการประมงโลก

การประมงเกินขนาด

ปลาในทะเลกว่า 90% ตกเป็นเป้าหมายการประมง แม้ว่ากว่าครึ่งของสัตว์น้ำที่เราบริโภคจะมาจากการเพาะเลี้ยง แต่ไม่ใช่สัตว์น้ำทุกชนิดที่สามารถเพาะเลี้ยงได้ การประมงเกินขนาด มากเกินไป เร็วเกินไป จนเกินศักยภาพการผลิตของธรรมชาติ ส่งผลให้ประชากรสิ่งมีชีวิตในทะเลลดลง ทำลายความสมดุลของระบบนิเวศ และอาจนำไปสู่การสูญเสียรายได้หากสายพันธุ์สัตว์น้ำเหล่านั้นสูญพันธุ์

สำหรับประเทศไทย ประมงอวนลากเป็นอุปกรณ์ที่วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่าไม่ควรมี เพราะเป็นการทำประมงที่ทำลายล้างมาก จับสัตว์น้ำทุกชนิดโดยไม่เลือก ทั้งฉลาม เต่า และนกทะเล ซึ่งหลายชนิดไม่สามารถนำไปขายได้ และถูกทิ้งให้ตายไปอย่างไร้ค่า

การทำลายที่อยู่อาศัยสัตว์น้ำ

แห อวน ระเบิดปลา เป็นวิธีการทำประมงที่พบได้ในไทยและมีพลังในการทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำสูงมาก แหล่งที่อยู่อาศัยเหล่านี้ยังเป็นแหล่งอาหาร ที่หลบภัย และแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำแรกเกิดที่สำคัญ ผลกระทบจากการทำลายจึงส่งผลระยะยาวต่อระบบนิเวศในวงกว้าง

นอกจากนี้ การทำฟาร์มสัตว์น้ำ โดยเฉพาะในกระชังและบ่อน้ำชายฝั่ง ทำให้ป่าชายเลนถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก แนวทางแก้ไขปัญหานี้คือการควบคุมบริเวณการสร้างฟาร์มให้จำกัดอยู่เพียงบางพื้นที่ และเร่งฟื้นฟูแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำริมชายฝั่ง

การจับปลาเพื่อทำอาหารปลา

การเพาะเลี้ยงปลากินเนื้ออย่างแซลมอนหรือกระพง มักพึ่งพาปลาทะเลอย่างซาร์ดีนหรือแอนโชวี่เป็นอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่การทำประมงเกินขนาดและสร้างความกดดันให้แก่ประชากร “ปลาเหยื่อ” ทางออกคือการใช้อาหารทางเลือก เช่น แมลง สาหร่าย หรือเลือกเลี้ยงปลาที่กินทั้งพืชและสัตว์อย่างปลานิลหรือปลาดุก เพื่อลดการพึ่งพาอาหารจากปลาทะเล

สารเคมีและมลภาวะ

การเลี้ยงปลาในบ่อแออัดเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคและปรสิต ผู้เลี้ยงจึงมักใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงเพื่อควบคุมโรค นอกจากนี้ มูลของเสียจากปลาจำนวนมากเป็นพิษต่อแหล่งน้ำ เมื่อถูกปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติทำให้เกิดมลพิษที่เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศและอาจตกค้างถึงมนุษย์

ทางออกคือการลดของเสียตั้งแต่ต้นทาง หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เพิ่มพื้นที่เพาะเลี้ยงเพื่อลดความแออัด และใช้ระบบบำบัดน้ำก่อนปล่อยออกสู่ธรรมชาติ ตัวอย่างที่ดีได้แก่ฟาร์มกุ้งลายเสือในเวียดนาม ที่มีความร่วมมือกับองค์กรอย่าง Seafood Watchdog และ Monterey Bay Aquarium ในการสนับสนุนชุมชนประมงรายย่อยให้เข้าถึงตลาดยั่งยืนโดยตรง

ประมงผิดกฎหมาย

ทุกปี ปลากว่า 26 ล้านตันกลายเป็นผลผลิตของการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU fishing) คิดเป็น 20% ของการจับปลาทั่วโลก และสร้างรายได้กว่า 36,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ลักษณะการกระทำผิดมีตั้งแต่การจับปลาโดยไม่มีใบอนุญาต การจับในพื้นที่ต้องห้าม การใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย การจับเกินโควตา และการไม่รายงานผลการจับหรือรายงานเท็จ

การทำประมงผิดกฎหมายนำไปสู่การทำประมงเกินขนาด ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และรัฐบาลสูญเสียรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียม การแก้ไขทำได้โดยการใช้ระบบติดตามเรือ บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และลงโทษอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ในประเทศกำลังพัฒนาที่พึ่งพาชุมชนประมงและผู้ประกอบการรายย่อย การบังคับใช้อาจทำได้ยาก การให้ความรู้และสนับสนุนการทำประมงอย่างยั่งยืนจึงเป็นอีกแนวทางหนึ่ง

สิทธิมนุษยชนและปัญหาแรงงาน

อุตสาหกรรมการประมงรวมเอาปัญหาสิทธิมนุษยชนหลายประการไว้ด้วยกัน ทั้งแรงงานบังคับ แรงงานทาส การใช้แรงงานเด็ก แรงงานที่เข้าไม่ถึงระบบประกันสังคม การละเมิดสิทธิผู้หญิง และการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก

สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก การประมงสร้างการจ้างงานกว่า 2 ล้านตำแหน่งทั่วประเทศ แต่ปัญหาสิทธิมนุษยชนยังคงแพร่หลาย เช่น การยกเลิกการจ่ายเงินเดือนให้แรงงานข้ามชาติผ่านบัญชีธนาคารซึ่งเป็นวิธีตรวจสอบการให้ค่าแรง ความพยายามปรับให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานในเรือประมงได้ และความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรระหว่างประมงพาณิชย์กับประมงพื้นบ้าน

ปัญหาการค้ามนุษย์เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ทำให้ไทยตกเป็นเป้าการตรวจสอบจากนานาชาติ ในปี 2558 สหภาพยุโรปขู่ห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากไทยหากไม่มีการปฏิรูปอุตสาหกรรมและขจัดการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยออก “ใบเหลือง” เตือนว่าไทยอาจหมดสิทธิส่งออกไปยังสหภาพยุโรป

รายงานจาก Human Rights Watch ระบุว่า แรงงานข้ามชาติจากเมียนมาและกัมพูชามักตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมงไทย ขณะที่ International Justice Mission ชี้ว่าประมาณ 1 ใน 3 ของแรงงานประมงข้ามชาติเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ และ 3 ใน 4 ต้องทำงานอย่างน้อยวันละ 16 ชั่วโมง แรงงานเหล่านี้มักถูกขัดขวางไม่ให้เปลี่ยนนายจ้าง ไม่ได้รับค่าจ้างตามกำหนด หรือได้รับค่าจ้างต่ำกว่าที่ตกลงไว้ อีกทั้งไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานไทย

บทสรุป

อุตสาหกรรมประมงที่ดำเนินการอย่างไม่ยั่งยืนไม่เพียงก่อปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งประชากรสัตว์น้ำ ระบบนิเวศทางทะเล และมลพิษทางน้ำ แต่ยังเป็นแหล่งกบดานของปัญหาสิทธิมนุษยชนหลายประการ แม้จะปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าการทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ แต่ก็ยังมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ส่งผลให้อุณหภูมิในทะเลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำทั้งที่เพาะเลี้ยงและเติบโตตามธรรมชาติ

เราจึงจำเป็นต้องมีแผนการจัดการที่เป็นนวัตกรรม มีความยืดหยุ่น และยึดแนวทางระบบนิเวศ โดยคำนึงถึงสภาวะทะเลที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ต้องบูรณาการทั้งมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างอุตสาหกรรมประมงที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง